ประสบการณ์สมัครงาน Software Developer ในเยอรมัน

แชร์ประสบการณ์สมัครงาน Software Developer ในเยอรมัน จากแม่บ้านสูงอายุ...อิอิ ทีมาเริ่มเรียนเขียนโปรแกรมตอนแก่ และมีความรู้ไอทีต่ำมาก ไม่เคยใช้ไอโฟน ไม่รุ้จักเทคโนโลยีใดๆ

เป็นคำถามที่หลายๆคนมักจะชอบตั่งคำถามว่า อายุขนาดนี้ ขนาดนั้น จะเรียนเขียนโปรแกรมได้ไหม สายไปไหมที่จะเปลี่ยนสายงาน เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ว่าทำยังไง ทำอะไรมาบ้าง ถึงหางานได้ ถึงได้มาอยู่จุดนี้ ทั้งนี้เรื่องราวนี้เป็นประสบการณ์จากตัวเราเองนะคะ หลายๆคนก็อาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ตัวเรามาเริ่มเรียนตอนอายุ 30+ เราอาศัยอยู่ที่ประเทศเยอรมันนีค่ะ ตอนแรกตั่งใจจะมาเรียนต่อแต่ไม่ได้เรียน มาตั่งแต่ตอนอายุ 20 กลางๆ แต่มีลูกซะก่อนตอนอายุ 27-28 กำลังเข้ามหาลัย ฮ่าๆๆ มา 1 กลับ 3 ได้กำไร อิอิ...

ส่วนตัวเราไม่เคยเรียนทางสายไอทีโดยตรงค่ะ เราเรียนจบวิศวกรรมเครื่องกลจากมหาลัยทางภาคอีสานที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก ตอนมาอยู่เยอรมันใหม่ๆ หลายๆคนที่เขามาอยู่นานกว่าก็การันตีว่า วุฒิเราจะไม่เป็นที่ยอมรับและไม่สามารถหางานดีๆในเยอรมันได้อย่างแน่นอนแน่นอน เราก็เลยรู้สึกกลัวกับการหางานทำ รู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเองเพราะแบบเกิดมาไม่สวยแล้วยังโง่อีก ฮ่าๆๆ 😬

พอลูกโตเข้าอนุบาลเราก็เริ่มหาอะไรที่อยากทำเคยไปสมัครเรียนดนตรีเป็นงานอดิเรค แต่ไม่มีโรงเรียนไหนมีที่ว่างเลย ก็เลยหาอย่างอื่นทำ ช่วงนั้นก็ติดเกมส์มากเลยคิดว่า (ที่มาของชื่อบล็อคนี่หล่ะ เล่นไปได้ 16k ชั่วโมง 😁) ลองเขียนโปรแกรมดีกว่า เผื่อทำเกมส์เล็กๆของตัวเองเล่นๆเป็นงานอดิเรค ซึ่งในตอนนั้นเราไม่ได้มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเลย ก็เลยไปขอครอสเรียนจาก Arbeitsagentur ที่เยอรมันจะมีหน่วยงานที่ช่วยเหลือด้านการทำงาน หลายคนเข้าใจผิดว่า Arbeitsagentur คือ Job Center จริงๆแล้วเป็นคนละหน่วยงานกันนะคะ Arbeitsagentur จะดูแลเรื่องจัดการการหางานและการพัฒนาศักยภาพของผู้หางาน ไม่ได้ดูแลเรื่องเงินตกงาน ซึ่งเรารู้สึกชอบเยอรมันตรงที่เขามีสวัสดิการสนับสนุนให้คนกลับเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะคุณแม่ที่จำเป็นต้องออกจากงานเพื่อไปเลี้ยงลูก หรือเป็นคุณแม่ Fulltime (ที่เยอรมันจะให้เกียรติแม่บ้านที่ต้องอยู่บ้านแล้วเลี้ยงลูก) เอาจริงๆเราก็สนใจเรื่องเขียนโปรแกรมมานานแล้ว แต่ไม่กล้าทำ กลัวมันยาก คนรู้จักหลายคนก็บอก จะเรียนไปทำไม เรียนไปจะเสียเวลาเปล่าๆ แต่พอวันหนึ่งเลยคิดว่าลองๆไปซะ ให้มันสิ้นความสงสัยว่าเราจะทำได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ก็อย่างน้อยได้ลอง 

หลังจากได้ครอสเรียนจาก Arbeitsagentur เราเลือกเป็นครอส Umschulung Fachinformatiker Anwendungsentwicklung คือเรียนเพื่อเปลี่ยนสายอาชีพ ซึ่งจะคล้ายๆกับเรียน Ausbildung หรือ สายอาชีพในเยอรมัน แต่จะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าถ้ามีความรู้เยอะอยู่แล้วก็จะขอลดเวลาแล้วรีบไปสอบได้ ซึ่งที่เยอรมันจะมีการสอบ IHK ซึ่งถือว่าเป็นข้อสอบกลาง สำหรับคนที่จะทำอาชีพสายใดๆควรจะสอบ แต่ในทุกวันนี้ก็ไม่จำเป็นว่าเป็นเป็นเฉพาะ IHK เหมือนสมัยก่อนแล้วค่ะ เพราะมี ใบ Zertifikat (Certification) สำหรับงานสายไอทีหลากหลายมากๆ บางบริษัทก็รีเควสขอเป็นใบสอบเฉพาะทางแทน หรือบางคนแค่ลง Weiterbildung แค่ 6 เดือน ก็เพียงพอแล้ว ในครอสที่ลงเรียนจะเป็นการเรียนแบบ online 100% 

เราใช้เวลาเรียน 1 ปีครึ่งและฝึกงานอีก 6 เดือนค่ะ สิ่งที่เรียนก็จะมีพื้นฐาน OOP C#, HTML, CSS, Project Management, กฏหมายแรงงาน กฏหมายต่างๆที่ควรรู้สำหรับแรงงานและผู้ประกอบการ Social, Database, English for IT, พื้นฐานคอมพิวเตอร์ต่างๆเช่น Server, OSI, Client, IP, RAMเลขฐานต่างๆ ในระหว่างเรียนเราจำเป็นต้องลาเพื่อผ่าตัด 1 เดือน ก็เลยไม่ได้เรียน HTML และ CSS

ขอสอบเป็นข้อเขียน สอบ 3 วิชา คือ

  • วิชา Core สำหรับสาย Anwendungsentwicklung ข้อสอบจะ Random SQL, Class Diagram, Process Diagram, State Diagram ชนิดต่างๆ, Project Management ให้เลือกทำ 4 ข้อซึ่งเป็นข้อเขียนทั้งหมด โจทย์เป็นภาษาเยอรมัน แนวๆให้โจทย์มาแล้วให้เขียนผังการทำงาน หรือเขียน Class Diagram, Use Case...  und so weiter
  •  วิชา สาย Systemintegration ที่จะเกี่ยวกับพวกพื้นฐาน การจัดการทางด้าน Hardware และทฤษฏีด้าน Hardware ข้อสอบจะเป็นข้อเขียน เช่น OSI มีกี่เลเยอร์ มีอะไรบ้าง แนวๆนั้น โจทย์เป็นภาษาเยอรมัน
  • -          วิชา Social จะเป็นแบบกา คือเกี่ยวกับกฏหมายแรงงานต่างๆ โจทย์เป็นภาษาเยอรมัน เป็นข้อสอบแบบกา
เขียนจดหมายสมัครงาน 
การเขีนยจดหมายสมัครงานเราจะเขียนให้แต่ละบริษัทไม่เหมือนกันนะคะ แล้วแต่ว่าเขาทำเกี่ยวกับอะไร เราก็จะเน้นเฉพาะสกิลที่น่าสนใจลงไป ส่วน Lebenslauf/Resume เราก็จะใส่โปรเจคส่วนตัวที่เคยทำลงไป แล้วก็สกิลที่มีตามปกติ ส่วนรูปถ่าย เราไม่เคยใช้รูปแบบ official ใส่สูตรดูทางการ ในการสมัครงาน ก็ใช้รูป Selfie ยิ้มสวยๆให้ดูเป็นมิตรนั่นแหละ อันนี้เรื่องจริงนะ เคยทำรีซูเม่ลายแมว ได้งานด้วย เขาบอกชอบความมั่น ความ creative 😁 เราคิดว่าเขาไม่ได้ดูความเป็นทางการ เน้นแบบสกิลต่างๆให้เข้าใจง่าย ส่วนความสามารถทางด้านภาษาเราก็ใส่ระดับลงไปเลยว่าสกิลเราประมาณไหม แต่ภาษาอังกฤษเราไม่เคยสอบระดับภาษาก็ใส่ไปตามความจริงว่า สื่อสารได้ 

เอกสารที่ใช้สมัครงาน
มี IHK Zertifikat,  วุฒิ ป.ตรีที่ไม่ได้ทำ Anerkannt แค่แปลเท่านั้น, ผลสอบภาษาเยอรมัน B2, จดหมายแนะนำตัว Anschreiben,  Lebenslauf/Resume

ทำงาน/สมัครงาน
หลังจากเรียนจบเราทำงานที่แรกเป็น Software สำหรับงานเขียนแบบ ใครเป็นเคยเรียนวิศวะก็จะคุ้นเคยกันดีกับพวก Software CAD ซึ่งเราทำงานกับบริษัทที่เป็นเฉพาะทางสำหรับงานวิศวกรรไม้ และวิศวกรรมโยธา ที่ทำ CAD CAM BIM แนวนี้ ตัว Software ใช้ C++ และ C# ศูนย์พัฒนาหลักอยู่ที่เยอรมันและยังมีนักพัฒนาที่ทำงานจากที่บ้านอีกจากในประเทศอื่นๆเช่นอเมริกา แคนาดา ฟรั่งเศส อันนี้ถ้าพูดตรงๆคือเราว่า ป.ตรีที่เรียนมาจากไทยมา อย่างน้อยๆก็ไม่ useless เพราะตอนสัมภาษณ์คนสัมภาษณ์ชอบโปรไฟล์เราที่มี Background เป็น Engineer เพราะตัว Geschäftsführer เองก็เป็น Dev เองด้วยและจบวิศวกรรมโยธามา แต่จริงๆแล้วหัวกลวง ไม่มีความรู้อะไรเลยค่ะ แฮะๆ แต่หลังจากทำงานที่นี่ เรารู้สึกว่า Culture ของบริษัทไม่ค่อยเหมาะกับเรา และงานมันค่อนข้างยากสำหรับ Newbie แบบเรา ก็เลยเริ่มมาทดลองทำแนวๆอื่นดู ความรู้ ณ ตอนนั้น เราไม่เคยได้เรียนรู้การทำพวก Web App หรือ Framework ใดๆเลย รู้จักแค่ OOP แล้วก็การใช้ Library แค่นั้น ก็เลยลองเลือกเป็น Cเพราะส่วนตัวคิดว่าชอบมากกว่า C++ แล้วก็พอที่จะมีพื้นฐานมา (ความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความรู้สึกส่วนตัวแค่ไม่ชอบแนวโค๊ดของ C++ มันดูมุ่นๆ)

เราเริ่มใช้เวลาในการเรียนแนวสาย Web App, Mobile App ที่มีเป้าหมายที่ .NET ก็ฝึกเรียนแบบรวมๆ ทั้ง Xamarin, ASP.NET ทั้งๆที่ก็อ่านเจอบ่อยๆว่า มันไม่ฮิต คนไม่ใช้งานกัน แต่เราก็ฝึกสายนั้นต่อไปเพื่อเอาความรู้พื้นฐานให้เข้าใจพวก OOP มากขึน ฝึกใช้ Framework ต่างๆให้ดีขึ้นและทำความเข้าใจให้มากขึ้น เราไม่ใช่คนที่สมองดีแบบเรียนปุ๊บจำอะไรได้เลย ก็ต้องใช้เวลาค่อยๆจำว่ามันเอาไว้ทำอะไร มีประโยชน์ยังไง แล้วจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง ณ ตอนนี้แหล่งที่เรียนก็ไม่ใช่การไปลงครอสเหมือนก่อนหน้า แต่จะเป็นจากพวก youtube, udemy แทน เราเลือกที่จะทำโปรเจคง่ายๆซัก 1 โปรเจค แล้วออกแบบว่า มันควรจะหน้าตาเป็นแบบไหน ผู้ใช้งานทำอะไรได้บ้าง โดยแต่ละส่วนก็ค่อยๆทำ ค่อย google ไปว่าเราอยาก edit ส่วนหน้าให้มันเป็นแบบนี้แบบนั้นมันทำยังไงได้บ้าง ซึ่งระหว่างทางเราได้เรียนมากกว่าแค่ทำในส่วน App ของตัวเอง แต่ได้เรียนรู้การใช้ Software ต่างๆ สำหรับงาน Frontend ไปด้วย เช่น Adobe XD หรือค่อยๆเรียนเทคนิคเล็กๆน้อยๆไปด้วย ช่วงนั้นคือทุกวันจะต้องเรียนอะไรซักอย่างอย่างน้อยๆ 1 เรื่องแล้วทำตามหรือเรียนไปทำตามไปด้วย ใช้เวลาราวๆ 3 เดือนเรียนพวก React, Angular, Xamarin, ASP.NET, Typescript ระยะเวลาแค่นั้นจำไม่ได้ทุกอย่างหรอก แต่พอรู้ Basic คราวๆ

แน่นอนว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่การทำงานในองกรณ์ระดับโลก  เพราะฉะนั้นเราจะไม่เน้นศึกษาพวก Algorithm แบบเจาะลึก เช่นการไปทำโจทย์ตาม Leetcode หรืออื่นๆ เข้าไปฝึกบ้างแบบขำๆ แต่ไม่ได้จริงจังมาก และความรู้ทฤษฏีสำหรับเรามันต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ แต่จริงๆเราก็ชอบอ่านพวกหนังสือแนวนี้ถ้ามีเวลาว่างๆนั่งในธรรมชาติ สัมภาษณ์งานบางที่จะมีให้ทำ Algorithm แบบกระดาษเปล่าค่ะ เคยเจอตอนไปสมัคร "ฝึกงาน" 

"เมื่อคิดว่าตัวเองโง่ ก็ต้องค่อยๆเรียนแบบเต่าค่ะ Slow life อย่าไปรีบ 😁"

ได้งานที่ 2 หลังจากสมัครก็ได้งานเลยแบบงงๆ ที่เยอรมันถ้าได้ภาษาเยอรมันจะหางานสาย IT ค่อนข้างง่าย ส่วนตัวเราไม่ได้เก่งแต่มี offer งานตลอด เพราะสื่อสารภาษาเยอรมันพอได้ แต่การสมัครของเราคือ จะไม่สมัครแบบมั่วไปหมด จะเลือกสกิลที่เราทำได้เท่านั้น หรือสกิลที่เรารู้เท่านั้น ตอนสัมภาษณ์ที่บริษัทนี้เป็นไปแบบงงๆ และก็ได้งานแบบสัมภาษณ์เสร็จได้งานเลย เขาแค่ให้เราอธิบายแล้วเปิดโปรเจคที่เราเคยทำให้เขาดูซึ่งมันไปตรงกับสกิลที่เขากำลังอยากได้คือทำเกี่ยวกับพวก CAD 3D ที่เราเคยทำให้บริษัทเก่าแต่เขาอยากได้เอามาเป็น Feature ให้โปรเจคหนึ่งที่เขากำลังทำแล้วยังไม่มีคนทำ เขาก็ถามว่าอยากเริ่มงานพรุ่งนี้ก็มาได้เลยเรารีบแต่แล้วแต่คุณ เราก็เลยขอเบรกก่อน 1 เดือนเพราะอยากพักก่อน แต่งานนี้ที่ได้คือก็ไม่ได้ตรงแบบ 100% บริษัททำเกี่ยวกับ Radio Engineering คราวนี้มีโอกาสมาสายงาน  Embedded System มี Frontend Framework ที่ต้องใช้ Blazor ซึ่งตัวเราเองก็ไม่เคยใช้ Blazor มาก่อน ก็เอาความรู้จาก Angular, React มาประยุกต์ใช้เอา เช่นการทำ Component, การทำ MVVM หรือ MVC เราก็เดาๆว่ามันน่าจะทำได้เหมือนๆกันแค่ใช้ Cแทนที่จะเป็น Typescript แรกๆก็งงๆ แต่พอทำไปซักพักก็ชินกับภาษา ที่บริษัทซื้อ Syncfusion มาให้ใช้ก็สบายๆ ไม่ต้องมาออกแบบอะไรเยอะ ยกเว้นอะไรที่พิเศษๆก็ต้องมาเขียน Javascript เอง ทำ css เอง บริษัทนี้ Frontend ทำยัน Database ค่ะ ส่วน Backend คือพวกที่นั่งคุยกับ Electronic Devices จริงๆงานบริษัทนี้ค่อนข้างสนุก ใครที่ชอบแนวๆ Elektrotechnik (Electrical Engineering, Telecomunication Engineering) งานสนุกมาก บริษัททำพวกงานวิจัยหลายงานร่วมกับมหาลัยต่างๆแล้วก็หน่วยงานรัฐและเอกชนก็จะมีโปรเจคที่สนุกๆเยอะค่ะ แต่ที่ทำงานค่อนข้างไกลจากบ้าน ซึ่งเราไม่มีรถยนต์จะเดินทางด้วยรถไฟแล้วเจอกับปัญหารถไฟเยอรมันยกเลิก หรือรถไฟมาสายบ่อยๆ แล้ววางแผนชีวิตค่อนข้างยาก แล้วต้องดูแลลูกด้วยเลยรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางมาก สามารถทำงานที่บ้านได้ 2 วัน แต่หลายๆโปรเจคต้องเทสกับ Device จริง ที่บริษัทจึงไม่สามารถที่จะทำงานแบบ Home Office 100% ได้ เราเลยมองหางานในระหว่างที่นี่ใกล้ๆบ้านหรือเป็น Home Office 100% แต่ที่บริษัทนี้เราชอบความให้โอกาสผู้พิการและทุกเพศทุกวัย หรือผู้ที่สนใจหรือรับนักศึกษาต่างชาติมาฝึกงานนะ เราว่าเขาส่งเสริมพวกการศึกษาดี มีโปรเจคให้น้องๆ ป.ตรี ป.โท ทำเยอะ เพื่อนร่วมงานก็ฮา ทำงานเข้ากันได้ดี



เทคนิคการสมัครของเรายังคง Concept เดิมค่ะ เราจะไม่สมัครมั่วหรืองานที่ไม่มีความรู้ เราต้องดูว่าบริษัทนั้นเขาทำอะไรแล้วเรามีความรู้ที่พอจะทำสายนั้นได้ไหมถึงจะสมัคร เช่น มีตามรีเควสที่เขาประกาศรับสมัคร เราลองสมัคร Frontend Developer ไปยังบริษัทหนึ่งที่เป็นสาย Medical ซึ่งทำงานที่บ้านได้ 100% ตัวบริษัทแม่นั้นอยู่ที่ประเทศสวิตเซอรแลนด์ แต่ใช้ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เราพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษาอังกฤษค่ะ แต่เขียนภาษาอังกฤษดีกว่าภาษาเยอรมัน การสัมภาษณ์เป็นแบบ Video Call หลังจากสัมภาษณ์รอบแรกทำความรู้จักกัน สัมภาษณ์เป็นภาษาเยอรมันซึ่งภาษาของเราไม่ได้ดีมากนะคะแค่พอที่จะสื่อสารได้ เมื่อถูกใจก็จะมีขั้นตอนการ Live Coding เป็นขั้นตอนต่อไปว่าเราเขียน code เป็นจริงๆหรือไม่ ก็โชว์หน้าจอแล้วเขียนโค๊ดตามคำสั่ง สำหรับโจทย์ไม่ยากเลยค่ะ ใครเขียนโค๊ดเป็นจริงๆก็จะเขียนพวกนี้ได้อยู่แล้ว เขาก็จะให้ edit นั่น เพิ่มนั้น เปลี่ยนรูปแบบตำแหน่งของ div เปลี่ยนตำแหน่งข้อมูลในตาราง หรือ responsive สำหรับ Frontend ส่วนเราก็ทำเชื่อม Database และ ตัวอย่าง API เพิ่มไปให้เลย หลังจากสัมภาษณ์จบเขาก็บอกเดี๋ยวจะแจ้งอีกที เราไม่คิดว่าตัวเองจะได้ค่ะเพราะคิดว่าตัวเองไม่เก่งเลย พอทำได้แต่ไม่รู้สึกมั่นใจกับสิ่งที่ทำไป ก็เลยคิดว่าคำตอบนี้ไม่ได้แน่ๆ แต่สรุปคือเขาต้องการรับเราเข้าทำงานค่ะ แต่น่าเสียดายที่เราคิดว่าตัวเองไม่น่าจะได้เลยกลัวการเปิดอ่านอีเมล์แล้วก็ไม่ได้รับการแจ้งเตือน หรือฝันว่าเขาส่งเมล์ปฏิเสธเลยไม่กล้าเปิดดู เพราะสวัสดิการค่อนข้างดี และให้ค่าอุปกรณณ์ต่างๆ เงินเดือนค่อนข้างสูงเลยสำหรับคนประสบการณ์น้อยแบบเราและไม่มีวุฒิด้วย ไปเปิดดูอีเมล์ตอนกลับอีกทีหลังจาก 7 เดือนผ่านไปเลยรู้ว่าได้ ฮ่าๆ เสียดายมาก ทุกวันนี้ก็ยังเสียดาย แต่หลังจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้นเราไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองนะ เพราะคิดว่าตัวเองไม่เก่งถึงต้องเรียนรู้เพิ่ม ก็ไปเพิ่มสกิลสาย Frontend ให้มันเก่งมากขึ้นนอกจากการใช้ Framework หรือ Component สำเร็จรูปก็ไปฝึกลองทำของตัวเองบ้าง ลองทำอะไรที่นอกเหนือจากที่เราใช้งาน เราไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องไป Framework นั้นหรือ Framework นี้ แต่จะชอบดูพวก Performance ต่างๆ หรือเหตุผลในการตัดสินใจว่ากรณีไหนใช้อะไรมากกว่า แล้วก็ฝึกเขียนโค๊ดให้สะอาดมากขึ้น รวมทั้งฝึกพวกทฤษฏี เทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยรู้เพิ่มเติม



ผ่านจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไปเพื่อนคนเยอรมันก็เลยเชียร์ให้เข้าไปทำงานกับรัฐเพราะงานสบายแล้วก็มั่นคง หลายๆคนจะคิดว่างานสาย Tech, Engineering ถ้าเป็นผู้หญิงจะหางานยากกว่าผู้ชาย จริงๆคือไม่ใช่ที่เยอรมันค่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้พิการสมัครงานกับหน่วยงานรัฐจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ผู้ชายเยอรมันก็ชอบบ่นกันว่าไม่ยุติธรรม ฮ่าๆๆ แต่เราคิดว่าสกิลก็น่าจะต้องถึงด้วยนะไม่ใช่ว่าใครสมัครก็ได้หมด

เราก็เลยเข้าเว็บที่โพสงานของหน่วยงานรัฐในเมืองที่เราอยู่ บังเอิญเจอหน่วยงานที่หา
 Dev Blazor อยู่ 3 หน่วยงาน ตัวสำนักงานอยู่ใกล้ๆบ้านเราเลย ปั่นจักรยานแค่ 15 นาทีทั้ง 3 ที่เลย โอ้ว...อยากได้งานใกล้ๆบ้าน อยู่แล้ว เลยลองสมัครไป

แต่ที่แรกเราสมัครไปแบบส่งไปเลยแล้วเขาเลยตอบกลับมาว่าเรามีวุฒิไม่เพียงพอจึงไม่สามารถพิจรณาต่อได้
 จบไป...

ที่ 2 เราก็ส่งจดหมายสมัครไปเลย และได้รับเรียกสัมภาษณ์แบบกระทันหันมากๆ คือต้องการสัมภาษณ์วันศุกร์ที่ Mainz แต่ทำงานที่ Hannover ซึ่งเป็นเมืองที่เราอยู่ แล้วแจ้งวัน พุธ เราเลยขอเป็นสัมภาษณ์เป็นแบบออนไลน์ เพราะจองตั๋วไม่ทัน(ถ้าไม่วางแผนตั๋วรถไฟจะแพงมากค่ะ) พอสัมภาษณ์เสร็จก็คุยเรื่องเงินเดือน ซึ่งเราเรียกที่ฐานเงินเดือนปกติของ Software Developer แต่เราโดนต่อลดเงินเดือนลง -2 Entgeldgruppe ค่ะ เพราะเขาบอกว่าเราไม่มีวุฒิตรง แต่เขาจะบวกให้จากวุฒิ Ausbildung 1 ขั้น ซึ่งอยู่ในฐานเงินเดือนปริญญาตรีแต่น้อยกว่าเงินเดือน Software Developer (ทุกวันนี้ก็ยังเห็นเขาประกาศหา Software Developer อยู่นะ ตำแหน่งนั้นแหละ ฮ่าๆๆๆ) แต่ที่นี่ตอนสัมภาษณ์รู้สึกเหมือนเคมีไม่ตรงกับคนสัมภาษณ์นะคะ มันรู้สึกไม่สนุก บอกไม่ถูก การสัมภาษณ์เป็นไปแบบอึดอัด ทั้งๆที่คนสัมภาษณ์แค่ 3 คนเท่านั้นเอง

และที่สุดท้ายเราเขียนอีเมล์ไปถามเขาก่อนค่ะ ว่าเราไม่มีปริญญา Informatik เราสมัครได้ไหม เขาก็ตอบว่าให้เราลองส่งจดหมายสมัครกับเอกสารและ Lebenslauf (Resume) มาก่อน เราก็เลยส่งไป แล้วเขาบอกให้รอ เพราะหน่วยงานรัฐเขาจะมีวันกำหนดสมัคร กำหนดคัดเลือก กำหนดสัมภาษณ์แบบฟิควันเลย หลังจากสมัครไป 1 เดือน ก็ได้โทรศัพท์แจ้งว่าต้องการสัมภาษณ์เรา ก่อนวันสัมภาษณ์ 1 วันเราลองนั่งทำแอปเล็กๆที่เราเดาว่าเขาอยากได้ดู หน่วยงานที่เรียกเป็นหน่วยงานเกี่ยวกับการเงินค่ะ เราก็เดาว่าถ้าใช้ Blazor น่าจะใช้คู่กับ MS Office ก็เลยลองทำ Addin Office ดู แต่สำหรับเรามันก็คือ Javascript Interop ดีๆนี่เอง หลายๆคนเป็น Dev จะรู้ดีว่า Blazor เป็นน้องใหม่ในวงการ Frontend เพราะฉะนั้นคนจึงยังใช้งานไม่เยอะ แต่ขณะเดียวกันองกรณ์ที่เลือก Blazor ก็หาคนมาทำงานยากเช่นกัน เลยทำให้คนที่มีสกิลยิ่งหายากกว่างานไปอีก  

คราวนี้เตรียมตัวดีหน่อย เพราะที่ผ่านๆมา เหมือนไม่ตั่งใจจะหางานใหม่เลย อาจจะเพราะว่าเราเคยเจอประสบการณ์โดนปัดตกเพราะไม่มีวุฒิก็เลยไม่คาดหวัง ไปสัมภาษณ์แบบโง่ๆ ไม่ดูเลยว่าเขาอยากได้อะไร ฮ่าๆๆ

ครั้งนี้มีคนสัมภาษณ์ 7-8 คนค่ะจำไม่ค่อยได้แล้ว (หมายถึงเราคนเดียวแต่มีคนมานั่งถาม 7-8 คนนะคะ) ในตอนสัมภาษณ์เขาก็ถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับ Blazor ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเราได้อธิบายตั่งแต่ Blazor WASM และ Blazor Server รวมทั้ง Peformance ข้อดีข้อเสียต่างๆที่เราเจอ รวมทั้งเปรียบเทียบระหว่าง Blazor กับ Angular และเราก็พูดถึงจุดแข็งของ Blazor ซึ่งถ้าคนสัมภาษณ์เป็นแฟน .NET ก็จะถูกใจสิ่งนี้ อธิบายตั่งแต่กรรมวิธีการ Dev, Architecture ที่ใช้ EntitryFramework, SQL ทุกสรรพสิ่งที่รู้โม้ไปให้หมด ฮ่าๆๆ  อธิบายจนคนสัมภาษณ์นั่งมองหน้ากันแล้วยิ้ม+หัวเราะ ไม่รู้จะถามอะไร เล่นพูดไปหมดเลยที่อยากถาม

สัมภาษณ์งานกับหน่วยงานรัฐในเยอรมันคำถามแนวทฤฏีค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ถึงกับต้องมานั่งเขียนโค๊ด หรือโชว์สกิล Algorithm งานรัฐที่เยอรมันส่วนมากก็จะเป็น Software ภายในองกรณ์ที่ไม่ได้ทำขาย ซึ่งเขาจะลีสคำถามมาอยู่แล้ว เราคิดว่าน่าจะถามคำถามคล้ายๆกันทุกคน นอกเหนือจากนั้นก็คำถามทั่วไปเพื่อทำความรู้จักเกี่ยวกับตัวเรา แต่เราคิดว่าถ้าเราชอบงาน
 Dev อยู่แล้วหรือชอบอ่าน New Tech อยู่แล้วเราจะเหมือนไปนั่งคุยกันมากกว่าไปนั่งสอบค่ะ เพราะเราไม่รู้สึกเครียดเลยระหว่างสัมภาษณ์ มีตื่นเต้นนิดหน่อย นอกเหนือจากสัมภาษณ์ความรู้ทางด้าน Dev ก็จะเป็นพวกแนวจิตวิทยาการจัดการความเครียดในการทำงาน หรือการทำงานร่วมกับคนอื่น หรือภายใต้ความกดดัน และความเป็นผู้นำ แต่ในระหว่างสัมภาษณ์เราได้แจ้งไปว่า เราต้องใช้เวลาในการลาออก 6 เดือน เราก็คิดว่าไม่น่าจะได้เพราะนานเวอร์ แต่ก่อนเดินออกจากห้อง Feedback ค่อนข้างดีเพราะหัวหน้าฝ่าย (Projektleiter/Senoir Software Engineer) พูดเบาๆว่าถูกใจ ชอบ และวันต่อมาเราก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าเราได้งานและเขาต้องการการยืนยันว่าเราก็รับงานนี้แล้วเขาจะส่งสัญญาต่างๆมาให้ ซึ่งเราได้รับงานนี้ด้วยค่าจ้างของ Software Developer ปกติโดยที่ไม่โดนลด Entgeldgruppe (ฐานเงินเดือนตามอาชีพ) เพราะเราเคยคิดว่าเราไม่ได้มีวุฒิเขาอาจจะไม่รับเลยด้วยซ้ำ แต่ก็คือเราได้ฐานเงินเดือนนั้นปกติเลยโดยไม่โดนต่อรองเลย รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ปัจจุบันทุกวันนี้เราทำงานแล้วก็เรียนต่อปริญญาโท Informatik แบบ Teilzeit ไปด้วย โดยใช้ปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกลจากไทย (เหตุการณ์นี้ต่อเนื่องมาจากไอ้ที่โดนต่อเงินเดือนของการสัมภาษณ์ครั้งที่แล้วนั่นแหละ รับไม่ได้ที่โดนลดเงินเดือน ฮ่าๆๆๆ)  แต่ตอนนี้คิดว่ายังไม่อยากไปตำแหน่งอื่นค่ะ เรายังสนุกกับการเป็น Developer อยู่ แต่ก็เลือกเรียนสายที่สนใจ เพราะเราคิดว่าตัวเองก็ยังขาดทฤฏีอีกเยอะ ที่น่าจะมีประโยชน์ในการทำงาน ตอนนี้ก็ Happy กับการได้งานที่ชอบ Work-Life-Balance ที่เหมาะสมกับเรา สามารถทำงานที่บ้านได้ 100% หรือจะเข้าสำนักงานก็ได้ และงานไม่ยากจนเกินไป



สรุป
การสมัครงานในเยอรมันจริงๆ ความเข้ากันได้กับคนสัมภาษณ์น่าจะมีความสำคัญมากนะคะ เพราะส่วนใหญ่ที่ได้ จะคุยกันลื่นไหลดีกับคนสัมภาษณ์มากๆ แล้วรองลงมาก็คือความรู้ที่ถึงแม้จะยังไม่ได้เก่ง แต่เขาดูว่าเราน่าจะพัฒนาตัวเองต่อได้ และความแอคทีฟในการเรียนรู้ เรามักจะเจอถามว่าช่วงนี้ .NET มีอะไรใหม่ ซึ่งเราก็ได้ความรู้มาจากการอ่านบทความที่คนแชร์ตามกลุ่มต่างๆ หรือจาก Youtube ของโปร Dev ทั้งไทย ทั้งเทศต่างๆ ที่เราไป Sub ไว้นั่นแหละ งานเอกชนเราต้องเรียกเงินเดือนเอง ส่วนงานรัฐเงินเดือนจะตามตาราง ถ้ารับได้ก็ทำ สำหรับเรามาเริ่มต้นทำงานตอนแก่ ไม่คิดว่าตัวเองจะหางานทำได้ด้วยซ้ำ ฮ่าๆ 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เงินเดือนที่ได้จากการทำงานกับหน่วยงานรัฐในเยอรมัน

ปัญหาของการทำงานในประเทศเยอรมัน